#1การทดลองเรื่องการใช้ Lens น้องๆ ที่กำลังหัดถ่ายภาพ หรือถ่ายๆๆๆ มาแล้วซักพัก ลองทำการทดลองนี้ดูครับ หาแบบมา 1 คน ตากล้องผู้ชายก็หาแบบผู้หญิง ตากล้องผู้หญิงก็หาแบบผู้ชาย ถ่ายขนาดภาพ MS คือประมาณครึ่งตัว ให้ยืนห่างจากบ้านที่เป็น background ซัก 10 เมตร ด้วย Lens 50 mm ถ่ายเป็นภาพนิ่ง แช๊ะ และขยับกล้องเข้าไปใกล้ ถ่ายขนาดภาพ MS คือประมาณครึ่งตัวเหมือนกัน หน้าตาอารมณ์เดียวกันนะครับ ด้วย Lens 28 mm และถอยกล้องไกลออก ถ่ายขนาดภาพ MS คือประมาณครึ่งตัวเหมือนกัน ด้วย Lens 85 mm และหน้าตาอารมณ์เดิมนะครับ โดยที่ทั้ง 3 ภาพอยู่ภายใต้แสงใกล้เคียงกัน ความสูงของกล้องเท่ากัน F-stop เดียวกัน ใกล้เคียงกัน แล้วเอาภาพทั้ง 3 มาดู มาดูถึงความแตกต่างว่าอารมณ์ต่างกันหรือไม่ เป็นการฝึกตีความภาพ อารมณ์ของใบหน้าเหมือนกัน แต่ distortion ของหน้าไม่เหมือนกัน และแน่นอน Background ก็ต่างกัน รบกวนใช้การ print ออกมาทั้ง 3 รูป แล้วก็เขียนกำกับไว้ว่า Lens 28/50/85mm และก็เริ่มเขียนอารมณ์ของภาพที่เกิดขึ้น ตามที่ตัวเราเห็น
แปะติดไว้ที่ฝาผนัง และก็เขียน comment เพิ่มเติมเข้าไปว่า ภาพสื่ออารมณ์อะไรบ้างในแต่ละภาพ
ไม่มีผิดถูกนะครับ ฝึกหาอารมณ์ของภาพ จาก Lens ที่ต่าง แล้วพอเราจะถ่ายภาพบุคคล เรากลับมาดูที่เราแปะไว้ข้างฝาว่าจะเลือกใช้ Lens ไปในแนวทางไหน
อันนี้แต่ละคนจะได้คำตอบไม่เหมือนกัน
และลองพัฒนาโดยให้ตัวแสดง acting ง่ายๆ และถ่ายเป็นภาพเคลื่อนไหว ให้เหมือนกันเช่น มองซ้าย มองขวา และเปลี่ยนขนาด Lens เหมือนเดิม ทำเหมือนการทดลองแรกที่ถ่ายเป็นภาพนิ่ง
แล้วเอา 3 Clips มาดูว่าสื่ออารมณ์ แตกต่างกันอย่างไร
#2การทดลองเรื่องการCompostion กล้อง + Lens 50mm
นางแบบคนเดิม ระยะครึ่งตัวเหมือนเดิมให้หัน 45 องษา ด้านใดด้านหนึ่ง ถ่ายแบบไม่ต้องเลงว่าจะเป็น composition แบบไหน บน ล่าง กลาง ซ้าย ขาว บนขวา บนซ้าย ล่างขวา ล่างซ้าย ซ้ายมาก ชาวมาก สุดท้ายด้วยการถ่ายด้วยการเล็งใน view finder แล้วก็กดอีก แช๊ะ Print ทั้งหมดออกมา แล้วลองเลือกดูว่าภาพสุดท้ายที่เราเล็ง กับภาพอื่นๆ มีภาพไหนชอบมากกว่า มีคนบอกว่าเราจะพยายาม compostion ในรูปแบบเดิมๆ ลองแบบนี้ แล้วลองเอามาศึกษาดู แล้วอยากให้ตีความของทุกภาพออกมา บางภาพอาจหูขาดไป แต่ลองตีความอีกทีว่า เค้าไม่ได้ยินได้มั้ย บางภาพหน้าชนขอบเฟรม ซึ่งผิดหลักการถ่ายภาพเบสิค แต่ลองตีความว่า ไม่มีที่จะไปแล้ว ทางตันแล้ว บางภาพตาขาดหายไป อาจเป็น composition ที่สวยแปลกก็เป็นได้ และเอาบาง composition ไปถ่ายเป็นภาพเคลื่อนไหวดู เช่นจาก composition ที่เราชอบ move กล้องไปเป็น composition ที่ตาขาดหลุดออกจากเฟรม ลองหลายๆ แบบ มันจะได้การ movement กล้องรูปแบบใหม่ๆ ความหมายใหม่ๆ
#3การทดลองเรื่องสายตาของตัวแสดง กล้อง + Lens 50mm
นางแบบคนเดิม ระยะครึ่งตัวเหมือนเดิม จัดวาง composition กลางหรือเยื้องซ้ายนิดหน่อย ล็อคขา ล็อคกล้อง ให้ต้วแสดงมองและยิ้มมาที่กล้อง มองมาที่ Lens แช๊ะ ให้ตัวแสดงมองเยื้องมาที่เราที่เป็นคนถ่าย ให้ตัวแสดงมองเยื้องไปทางตรงข้ามคนถ่าย ให้ตัวแสดงมองบนเล็กน้อย ให้ตัวแสดงมองล่างเล็กน้อย ให้ตัวแสดงมอง ซ้าย 45 องศา ให้ตัวแสดงมอง ขวา 45 องศา ให้ตัวแสดงมองบนมากขึ้น ให้ตัวแสดงมองล่างมากขึ้น ทั้งหมดพยายามให้ตัวแสดงทำหน้ายิ้มอารมณ์เดียวกัน
Print ทั้งหมดออกมา แล้วเราก็มาตีความว่ายิ้มแต่ละอันมีความหมายอย่างไร แล้วมาทดลองเป็นภาพเคลื่อนไหวดู
จริงๆ แล้วมีอีกมามากมายนะครั้ง การทดลองในขั้นสูงมีอีกมากมายครับ ที่เรียกว่า Experimental Film เช่น การทดลองเรื่อง speed กล้อง ตั้ง speed กล้องที่ 4 FPS แล้วลองเดินถ่ายเข้าไปในตลาดสด แล้วลองเปลี่ยน speed กล้องเป็น 6 PFS / 8FPS / 12PFS 18 FPS แล้วเอามดู บาง speed อาจตีความว่าเป็นความโกลาหล ภัยพิบัติ หรือเป็นการข้ามเวลา หรือเป็นการย้ายร่างของอสูร หรืออื่นๆ ที่สามารถตีความได้ด้วยตัวเราเอง หรืออาจให้คนอื่นดู และตีความใหม่ๆ ก็เป็นได้
หรือเป็นการทดลองทางด้านเนื้อหา เหตุการณ์ เช่นมี นศ.เยอรมันคนนึง หาข้อมูลจากข่าวว่า มาริลินมอนโร ตายอย่างไร ในข่าวบอกว่าตอนเย็นเธอไปที่ร้านของชำใกล้อพาร์ทเม้นของเธอ พอเช้ามาคนก็มาพบศพเธอ เหตุการณ์ที่หายไปที่ไม่มีคนเห็นคือ เย็นนั้นจนถึงตอนสายวันรุ่งขึ้น เขาก็เขียนเรื่องขึ้นมาจากภาพสุดท้ายในข่าว ที่เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง และแนวความคิดต่างๆ แห่งความตายของเธอ 1.กินยาเกินขนาด + แอลกอฮอล์ 2.การเข้าไปพัวพันเป็นแฟน JFK 3.แก็งมาเฟีย Hollywood 4.แม่บ้านที่โทรแจ้งตำรวจ 5.อุบัติเหตุ 6.ฆ่าตัวตาย เขาเลือกฆ่าตัวตายมาสร้าง
โดยบทบอกว่าเธอซื้อดอกกุหลาบมากมาย และยาเบื่อหนู และ whisky เธอเด็จดอกกุหลาบโรยบนเตียงเต็มไปหมด เธอดื่ม Whisky ไป 2-3 แก้ว
19:30 เธอโทรหาสามีนักจิตวิทยาดร. กรีนสัน และอดีตสามีโจดิมาจิจิ เธอก็ยังดูปกติ นี่คือการค้นคว้าจากคำให้การของพยาน
และบทก็ต่อไปด้วยว่า 19:55 เธอเริ่มกินยาพิษ
และบทก็เขียนต่อจากเรื่องจริงไปว่า แต่อีกครึ่ง ชม.ต่อมา 20:00 นักแสดงปีเตอร์ลอว์ฟอร์ด โทรมาหาเธอ เค้าบอกว่าเธอน่าจะพูดจาเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่อง
บททดลองก็เขียนต่อว่าเธอเริ่มทุรนทุราย และนอนบนกลีบกุหลาบที่โปรยอยู่บนเตียง เธอพยายามหลับ อ่อเธอกินยานอนหลับอีกหลายสิบเม็ด อีกไม่นานเธอตื่นขึ้นพร้อมน้ำลายฟูมปาก ปัดของพังกระจาย เธอพยายามไปที่ห้องน้ำ เปิดน้ำราดหัว เธอกลับไปกลับมาระหว่างเตียงนอนและห้องน้ำ เตียงนอนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบกระจายร่วงเละเทะ สุดท้ายเธออ๊วกที่โถชักโครก และตายโดยที่หัวจุ่มในโถส้วม นั่นคือบทที่เขียน
มาต่อด้วยข่าวที่บอกว่า แม่บ้านมาพบเธอตายไปแล้วตอนเที่ยงคืน แม่บ้านจักการเปลี่ยนผ้าปูที่หนอนให้เธอใหม่ พร้อมกับทำความสะอาดให้เรียบร้อย ไม่เละเทะ เพราะแม่บ้านน่าจะสนิทกับเธอและไม่อยากให้ ใครเห็นเธอในสภาพแบบนี้
นี่คือหนังทดลองทางด้านบท ผมเคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วครับ ซึ่งจากสมมุติฐานต่างๆ เราสามารถสร้างหนังเรื่องเดียวกันได้ อีก 5-6 เนื้อเรื่องที่ไม่เหมือนกัน เช่น การเข้าไปพัวพันเป็นแฟน JFK แก็งมาเฟีย Hollywood หรือแม่บ้านเป็นคนฆ่าเธอด้วยเหตุจูงใจบางอย่าง
ถ้าแบบไทยๆ เราก็หาเหตุการณ์อะไรก็ได้ที่มีเงี่ยนงำ เอ๊ย ... เงื่อนงำ หาข้อมูลจากข่าวจริง เอามาปะติดประต่อ สร้างเรื่องขึ้นมา เพราะการอิงกับข่าวจริงๆ หรือการสอบสวน หรือพยานหลักฐาน จะทำให้หนังเราดูเหมือนจริงมากขึ้น บทหนังมักจะมีการ reseach อยู่เสมอครับ
ที่กล่าวมาคือการทดลองของหนัง จากง่ายๆ จนถึงยากๆ และยังมีอีกมากมายนะครับ ลอง search คำว่า experimental film ดูสิ มีคนทำไว้มากมาย experimental film เปรียบได้กำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ครับ มักจะได้สิ่งใหม่เสมอ หนังหลายเรื่องก็ทดลองก่อนจะถ่ายจริงอยู่บ่อยๆ ครับ หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ สร้างความใหม่ให้กับวงการนะครับ ฝากแชร์ให้คนที่รักนะครับ
Comments